ค้นหา

HOW TO:

แต่งหน้า
ฉบับมือใหม่

แนะนำวิธีการแต่งหน้าง่าย ๆ นำไปใช้ได้กับทุกสภาพผิว
เหมาะสำหรับมือใหม่แต่งเป็นภายใน 10 ขั้นตอน

HOW TO:

แต่งหน้า
ฉบับมือใหม่

แนะนำวิธีการแต่งหน้าง่าย ๆ นำไปใช้ได้กับทุกสภาพผิว
เหมาะสำหรับมือใหม่แต่งเป็นภายใน 10 ขั้นตอน




ใครที่แวะเวียนมาอ่านบทความนี้อาจจะเป็นมือใหม่หัดแต่งหน้า หรือเพิ่งเริ่มลองแต่งหน้าครั้งแรก
การแต่งหน้าไม่ได้ยากอย่างที่คิด แค่ต้องรู้จักผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด วิธีใช้ และการเลือกประเภทของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับผิวของเรา
ไม่ว่าจะเป็นผิวธรรมดา ผิวแห้ง ผิวมัน รูขุมขนกว้าง หรือรูขุมขนอุดตันง่าย How-To วันนี้จะมาแนะนำวิธีการแต่งหน้าง่าย ๆ
นำไปใช้ได้กับทุกสภาพผิว เหมาะสำหรับมือใหม่ค่ะ

ปัญหาใหญ่ของมือใหม่หัดแต่งหน้าก็คือ
“ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี” และ “ไม่รู้ว่าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ตัวไหนก่อนหลัง”
ถึงแม้ว่าจะไปช้อปเครื่องสำอางมารอไว้แล้ว ก็ยังไม่กล้าที่จะลงมือแต่งบนหน้าตัวเองสักที
ลองสลัดความกลัว มองหน้าตัวเองในกระจก เปิดไฟให้สว่าง นึกภาพที่เราอยากจะเป็น
จากนั้นก็เริ่มกันได้เลย!


1. ทำความสะอาดผิว และเติมความชุ่มชื้นให้ผิว

ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการแต่งหน้า สิ่งสำคัญคือเมื่อตื่นมา หรือเพิ่งทำงานเสร็จ จะรีบแต่งหน้าไม่ได้นะคะ ต้องเช็ดเครื่องสำอางและล้างหน้าให้สะอาดก่อน เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมในการแต่งหน้าในตอนกลางวัน หรือพร้อมเข้านอนในตอนกลางคืน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ๆ และไม่ควรละเลย เพราะหากทิ้งเครื่องสำอางค้างคืนไว้บนหน้าอาจทำให้เกิดปัญหาผิวตามมาได้หากผิวหน้าสกปรก เช่น สิว หรือการอุดตันต่าง ๆ ดังนั้นห้ามมองข้ามเด็ดขาด

หลังจากเช็ดเครื่องสำอางด้วยเมคอัพ รีมูฟเวอร์ (Makeup Remover) เรียบร้อยแล้ว ก็ตามด้วย โฟมล้างหน้าหรือคลีนซิ่ง (Cleansing) เพื่อให้ผิวสะอาดล้ำลึก ขจัดทั้งฝุ่น และเครื่องสำอางที่อาจเหลือตกค้างอยู่ให้หมดจด และสามารถตามด้วยโทนเนอร์ (Toner) เพื่อปรับสมดุลของผิวหน้า และพร้อมได้รับการบำรุงในขั้นตอนต่อไปอย่างเต็มที่

การเลือกโทนเนอร์ให้เหมาะกับผิวก็เป็นเรื่องสำคัญนะคะ ใครที่มีผิวมัน หรือเป็นสิวง่าย แนะนำให้เลือกใช้โทนเนอร์ที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำมัน หรือน้ำหอม เพื่อหลีกเลี่ยงการตกค้างของสารเหล่านั้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการระคายเคือง ไม่ให้สิวมาถามหาเราบ่อย ๆ นอกจากนี้อาจเลือกใช้โทนเนอร์ที่สามารถขจัดความมันส่วนเกิน และช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนได้ด้วย ส่วนใครที่มีผิวธรรมดา หรือผิวแห้ง แนะนำให้เลือกใช้โทนเนอร์ที่มีความสามารถในการเติมหรือเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า การเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์ สามารถใช้ร่วมกับสำลี ให้เช็ดย้อนรูขุมขนเพื่อทำความสะอาดอย่างล้ำลึก และไม่ควรถูแรง เนื่องจากผิวหน้ามีความบอบบางเป็นพิเศษ

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดรอบดวงตาสูตรอ่อนโยน

1,500.00 บาท
1,500.00 บาท
Crushed Liquid Lip Bobbi Brown

1. ทำความสะอาดผิว และเติมความชุ่มชื้นให้ผิว

ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการแต่งหน้า สิ่งสำคัญคือเมื่อตื่นมา หรือเพิ่งทำงานเสร็จ จะรีบแต่งหน้าไม่ได้นะคะ ต้องเช็ดเครื่องสำอางและล้างหน้าให้สะอาดก่อน เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมในการแต่งหน้าในตอนกลางวัน หรือพร้อมเข้านอนในตอนกลางคืน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ๆ และไม่ควรละเลย เพราะหากทิ้งเครื่องสำอางค้างคืนไว้บนหน้าอาจทำให้เกิดปัญหาผิวตามมาได้หากผิวหน้าสกปรก เช่น สิว หรือการอุดตันต่าง ๆ ดังนั้นห้ามมองข้ามเด็ดขาด

หลังจากเช็ดเครื่องสำอางด้วยเมคอัพ รีมูฟเวอร์ (Makeup Remover) เรียบร้อยแล้ว ก็ตามด้วย โฟมล้างหน้าหรือคลีนซิ่ง (Cleansing) เพื่อให้ผิวสะอาดล้ำลึก ขจัดทั้งฝุ่น และเครื่องสำอางที่อาจเหลือตกค้างอยู่ให้หมดจด และสามารถตามด้วยโทนเนอร์ (Toner) เพื่อปรับสมดุลของผิวหน้า และพร้อมได้รับการบำรุงในขั้นตอนต่อไปอย่างเต็มที่

การเลือกโทนเนอร์ให้เหมาะกับผิวก็เป็นเรื่องสำคัญนะคะ ใครที่มีผิวมัน หรือเป็นสิวง่าย แนะนำให้เลือกใช้โทนเนอร์ที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำมัน หรือน้ำหอม เพื่อหลีกเลี่ยงการตกค้างของสารเหล่านั้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการระคายเคือง ไม่ให้สิวมาถามหาเราบ่อย ๆ นอกจากนี้อาจเลือกใช้โทนเนอร์ที่สามารถขจัดความมันส่วนเกิน และช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนได้ด้วย ส่วนใครที่มีผิวธรรมดา หรือผิวแห้ง แนะนำให้เลือกใช้โทนเนอร์ที่มีความสามารถในการเติมหรือเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า การเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์ สามารถใช้ร่วมกับสำลี ให้เช็ดย้อนรูขุมขนเพื่อทำความสะอาดอย่างล้ำลึก และไม่ควรถูแรง เนื่องจากผิวหน้ามีความบอบบางเป็นพิเศษ

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดรอบดวงตาสูตรอ่อนโยน

1,500.00 บาท
1,500.00 บาท

มาถึงขั้นตอนการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า โดยตัวเอกในขั้นตอนนี้จะเป็นกลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเตรียมผิวก่อนแต่งหน้า เพราะหากผิวหน้าแห้ง ขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น จะทำให้การแต่งหน้ายากขึ้น และเครื่องสำอางจะไม่ติดทนได้ค่ะ หากใครยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์แบบไหนดี ลองเลือกใช้เป็น #เบสบำรุงผิว Vitamin Enriched Face Base ดูนะคะ ตัวนี้เป็นมอยส์เจอไรเซอร์สูตร Oil-Free ไม่มีน้ำมัน เติมน้ำให้ผิวด้วยคุณค่าจากเชียร์บัตเตอร์ วิตามินบี ซี และอี พร้อมกลิ่นหอมจากเกรปฟรุตและเจอราเนียม ช่วยผ่อนคลายผิว ปราศจากพาราเบน พาทาเลต ซัลเฟต กลูเตน น้ำหอม ส่วนผสมจากสัตว์ รวมถึงยังมีคุณสมบัติเสมือนไพรเมอร์ในการช่วยปรับสภาพผิวให้เตรียมพร้อมสำหรับการแต่งหน้า ช่วยให้เกลี่ยรองพื้นได้ง่ายขึ้น และทำให้รองพื้นติดทนนานขึ้นด้วยค่ะ โดยตัวนี้จะใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการลงสกินแคร์ และเป็นขั้นแรกของการเริ่มต้นแต่งหน้าค่ะ

เรียงลำดับง่าย ๆ แบบนี้เลยค่ะ
1. เบสบำรุงผิว Vitamin Enriched Face Base
2. ครีมกันแดด
3. คอนซีลเลอร์ / รองพื้น

เบสบำรุงผิวก่อนแต่งหน้าที่เป็นทั้งมอยส์เจอไรเซอร์และไพรเมอร์ในหนึ่งเดียว ช่วยเติมความชุ่มชื้นด้วยเชียร์บัตเตอร์ วิตามิน B C E พร้อมกลิ่นหอมจากเกรปฟรุตและเจอราเนียม ปราศจากน้ำหอมและน้ำมัน ใช้ได้ทั้งตอนเช้าและก่อนนอนโดยไม่ทำให้ผิวอุดตัน การันตีความนิยมจากทั่วโลกด้วยยอดขาย 1 กระปุกในทุกๆ 15 วินาที*

1,100.00 บาท
1,100.00 บาท

มาถึงขั้นตอนการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า โดยตัวเอกในขั้นตอนนี้จะเป็นกลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเตรียมผิวก่อนแต่งหน้า เพราะหากผิวหน้าแห้ง ขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น จะทำให้การแต่งหน้ายากขึ้น และเครื่องสำอางจะไม่ติดทนได้ค่ะ หากใครยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์แบบไหนดี ลองเลือกใช้เป็น #เบสบำรุงผิว Vitamin Enriched Face Base ดูนะคะ ตัวนี้เป็นมอยส์เจอไรเซอร์สูตร Oil-Free ไม่มีน้ำมัน เติมน้ำให้ผิวด้วยคุณค่าจากเชียร์บัตเตอร์ วิตามินบี ซี และอี พร้อมกลิ่นหอมจากเกรปฟรุตและเจอราเนียม ช่วยผ่อนคลายผิว ปราศจากพาราเบน พาทาเลต ซัลเฟต กลูเตน น้ำหอม ส่วนผสมจากสัตว์ รวมถึงยังมีคุณสมบัติเสมือนไพรเมอร์ในการช่วยปรับสภาพผิวให้เตรียมพร้อมสำหรับการแต่งหน้า ช่วยให้เกลี่ยรองพื้นได้ง่ายขึ้น และทำให้รองพื้นติดทนนานขึ้นด้วยค่ะ โดยตัวนี้จะใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการลงสกินแคร์ และเป็นขั้นแรกของการเริ่มต้นแต่งหน้าค่ะ

เรียงลำดับง่าย ๆ แบบนี้เลยค่ะ
1. เบสบำรุงผิว Vitamin Enriched Face Base
2. ครีมกันแดด
3. คอนซีลเลอร์ / รองพื้น

เบสบำรุงผิวก่อนแต่งหน้าที่เป็นทั้งมอยส์เจอไรเซอร์และไพรเมอร์ในหนึ่งเดียว ช่วยเติมความชุ่มชื้นด้วยเชียร์บัตเตอร์ วิตามิน B C E พร้อมกลิ่นหอมจากเกรปฟรุตและเจอราเนียม ปราศจากน้ำหอมและน้ำมัน ใช้ได้ทั้งตอนเช้าและก่อนนอนโดยไม่ทำให้ผิวอุดตัน การันตีความนิยมจากทั่วโลกด้วยยอดขาย 1 กระปุกในทุกๆ 15 วินาที*

1,100.00 บาท
1,100.00 บาท

2. ทาครีมกันแดดป้องกันแสงยูวี (UV) ไม่ให้ทำร้ายผิว

เมื่อผิวหน้าสะอาดรวมถึงเติมความชุ่มชื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปเราต้องป้องกันผิวหน้าจากรังสี UV ด้วยครีมกันแดด (Sunscreen) การทาครีมกันแดดมีความสำคัญมากนะคะ และต้องทาทุกวันแม้จะไม่ได้แต่งหน้าก็ตาม เพราะรังสี UV มีอยู่ทุกที่ รวมถึงแสงไฟ ไม่ใช่เฉพาะแสงแดด ซึ่งครีมกันแดดจะช่วยป้องกันไม่ให้ใบหน้าหมองคล้ำ และลดโอกาสการที่ผิวหน้าจะถูกทำลายจากแสง UV ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งผิวหนัง เจ้าครีมกันแดดนี้มีให้เลือกมากมายหลายชนิด ลองหาตัวที่มี SPF 50+ ที่สามารถปกป้องได้ยาวนานสัก 8 ชั่วโมง เพราะเวลาออกไปนอกบ้าน แน่นอนว่าเราก็คงไม่อยากทาครีมกันแดดกันบ่อย ๆ

Long-Wear Cream Shadow Stick Bobbi Brown

2. ทาครีมกันแดดป้องกันแสงยูวี (UV) ไม่ให้ทำร้ายผิว

เมื่อผิวหน้าสะอาดรวมถึงเติมความชุ่มชื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปเราต้องป้องกันผิวหน้าจากรังสี UV ด้วยครีมกันแดด (Sunscreen) การทาครีมกันแดดมีความสำคัญมากนะคะ และต้องทาทุกวันแม้จะไม่ได้แต่งหน้าก็ตาม เพราะรังสี UV มีอยู่ทุกที่ รวมถึงแสงไฟ ไม่ใช่เฉพาะแสงแดด ซึ่งครีมกันแดดจะช่วยป้องกันไม่ให้ใบหน้าหมองคล้ำ และลดโอกาสการที่ผิวหน้าจะถูกทำลายจากแสง UV ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งผิวหนัง เจ้าครีมกันแดดนี้มีให้เลือกมากมายหลายชนิด ลองหาตัวที่มี SPF 50+ ที่สามารถปกป้องได้ยาวนานสัก 8 ชั่วโมง เพราะเวลาออกไปนอกบ้าน แน่นอนว่าเราก็คงไม่อยากทาครีมกันแดดกันบ่อย ๆ

3. ปกปิดจุดบกพร่องด้วยคอนซีลเลอร์ (Concealer)

ปกปิดจุดบกพร่องต่าง ๆ บนใบหน้าเรา เช่น ใต้ตา สิว รอยสิว รอยดำ รอยแผลเป็น หรือบริเวณที่สีผิวไม่สม่ำเสมอ ด้วยคอนซีลเลอร์ (Concealer) ไม่ว่าจะดูหนัง ดูซีรีส์เกาหลี หรืออ่านหนังสือสอบจนดึก ขอบตาดำเป็นแพนด้า เจ้าคอนซีลเลอร์นี่แหละค่ะเป็นไอเท็มลับที่จะมาช่วยชีวิตเราไว้ มือใหม่หลายคนอาจสงสัย อ้าว แล้วแค่รองพื้นไม่พอเหรอ? บอกเลยว่าไม่พอค่ะ คอนซีลเลอร์จะมีเม็ดสีที่เข้มกว่าตัวรองพื้น ดังนั้นจะสามารถปกปิดเฉพาะจุดได้ดีกว่า แถมยังมีหลายเฉดสีให้เลือกอีกด้วย และหากคนไหนแต่งหน้าจนชำนาญแล้ว บางครั้งคอนซีลเลอร์ก็ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ปกปิดอย่างเดียว แต่ยังใช้ทำเฉดดิ้ง หรือไฮไลต์ได้ด้วยนะคะ ส่วนรูปแบบของคอนซีลเลอร์นั้นก็มีหลากหลาย ทั้งแบบครีม แบบน้ำ และแบบพัฟ แต่สำหรับมือใหม่ ขอแนะนำเป็นคอนซีลเลอร์แบบน้ำ จะทำให้ลงง่ายกว่าแบบอื่น ๆ แต่ถ้าใครซื้อแบบอื่น มาแล้วก็อย่าเพิ่งทิ้งไปนะคะ ลองใช้ดูก่อนได้ค่ะ อาจจะชอบและถนัดมากกว่าแบบน้ำก็ได้ ทั้งนี้ขอบอกว่าแบบครีมจะค่อนข้างปกปิดได้ดีกว่าแบบน้ำค่ะ แต่วิธีใช้ก็ต้องระวังนิดนึงนะคะ ให้ใช้นิ้วแตะ ๆ ใต้รอบดวงตา หรือบริเวณอื่นที่ต้องการปกปิด ไม่ควรถู เพราะจะทำให้เป็นคราบได้ง่ายค่ะ

PRO TIP:

สามารถใช้ คอเร็กเตอร์ (Corrector) ด้วยก็ได้นะคะ เพราะบริเวณที่เราต้องการปกปิดนั้นมีสีที่ต่างกัน เช่น ใต้ตาสีม่วง สีเขียว หรือสิวอักเสบสีแดง ซึ่งต้องทำการคอเร็กสีผิวให้ถูกต้องเสียก่อน จึงจะลงคอนซีลเลอร์เพื่อปกปิดได้อย่างเป็นธรรมชาติ

3. ปกปิดจุดบกพร่องด้วยคอนซีลเลอร์ (Concealer)

ปกปิดจุดบกพร่องต่าง ๆ บนใบหน้าเรา เช่น ใต้ตา สิว รอยสิว รอยดำ รอยแผลเป็น หรือบริเวณที่สีผิวไม่สม่ำเสมอ ด้วยคอนซีลเลอร์ (Concealer) ไม่ว่าจะดูหนัง ดูซีรีส์เกาหลี หรืออ่านหนังสือสอบจนดึก ขอบตาดำเป็นแพนด้า เจ้าคอนซีลเลอร์นี่แหละค่ะเป็นไอเท็มลับที่จะมาช่วยชีวิตเราไว้ มือใหม่หลายคนอาจสงสัย อ้าว แล้วแค่รองพื้นไม่พอเหรอ? บอกเลยว่าไม่พอค่ะ คอนซีลเลอร์จะมีเม็ดสีที่เข้มกว่าตัวรองพื้น ดังนั้นจะสามารถปกปิดเฉพาะจุดได้ดีกว่า แถมยังมีหลายเฉดสีให้เลือกอีกด้วย และหากคนไหนแต่งหน้าจนชำนาญแล้ว บางครั้งคอนซีลเลอร์ก็ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ปกปิดอย่างเดียว แต่ยังใช้ทำเฉดดิ้ง หรือไฮไลต์ได้ด้วยนะคะ ส่วนรูปแบบของคอนซีลเลอร์นั้นก็มีหลากหลาย ทั้งแบบครีม แบบน้ำ และแบบพัฟ แต่สำหรับมือใหม่ ขอแนะนำเป็นคอนซีลเลอร์แบบน้ำ จะทำให้ลงง่ายกว่าแบบอื่น ๆ แต่ถ้าใครซื้อแบบอื่น มาแล้วก็อย่าเพิ่งทิ้งไปนะคะ ลองใช้ดูก่อนได้ค่ะ อาจจะชอบและถนัดมากกว่าแบบน้ำก็ได้ ทั้งนี้ขอบอกว่าแบบครีมจะค่อนข้างปกปิดได้ดีกว่าแบบน้ำค่ะ แต่วิธีใช้ก็ต้องระวังนิดนึงนะคะ ให้ใช้นิ้วแตะ ๆ ใต้รอบดวงตา หรือบริเวณอื่นที่ต้องการปกปิด ไม่ควรถู เพราะจะทำให้เป็นคราบได้ง่ายค่ะ

PRO TIP:

สามารถใช้ คอเร็กเตอร์ (Corrector) ด้วยก็ได้นะคะ เพราะบริเวณที่เราต้องการปกปิดนั้นมีสีที่ต่างกัน เช่น ใต้ตาสีม่วง สีเขียว หรือสิวอักเสบสีแดง ซึ่งต้องทำการคอเร็กสีผิวให้ถูกต้องเสียก่อน จึงจะลงคอนซีลเลอร์เพื่อปกปิดได้อย่างเป็นธรรมชาติ

4. ปรับสีผิวให้เนียนเท่ากันด้วยรองพื้น (Foundation)

มาต่อกันด้วยรองพื้น (Foundation) ไอเท็มที่ ทุกคนคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว ซึ่งอุปกรณ์และวิธีการในการใช้ลงรองพื้นนั้นมีหลายแบบมาก ๆ ขึ้นอยู่กับความถนัดและความชอบของแต่ละคน รวมถึงขึ้นอยู่กับรูปแบบของเนื้อรองพื้นด้วยเช่นเดียวกัน แต่สำหรับมือใหม่หัดแต่งหน้าหรือผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดแต่งหน้า แนะนำให้เริ่มต้นจากการใช้รองพื้นแบบลิควิดหรือแบบน้ำ และลงด้วยนิ้วมือก่อน โดยกดหรือเทเนื้อรองพื้นไว้บนหลังมือเพื่อกะปริมาณ ทั่วไปแนะนำอยู่ที่ 1 ปั๊ม แล้วค่อย ๆ ใช้นิ้วแตะเป็นจุด ๆ ทั่วใบหน้า (หรือจะลงทีละจุดก็ได้ค่ะ) จากนั้นก็ใช้นิ้วเกลี่ยจนกว่าเนื้อรองพื้นจะกลืนไปกับผิวของเราเท่า ๆ กันค่ะ ทั้งนี้รองพื้นแต่ละรุ่นก็จะให้ Finish Look ที่แตกต่างกันด้วยนะคะ

หากใครกำลังมองหาหรือต้องการการปกปิดขั้นสูงสุด แนะนำ #รองพื้นติดทน Skin Long-Wear Weightless Foundation SPF 15 PA++ เป็นเนื้อลิควิด ไม่หนาจนเกินไป มาในขวดปั๊ม ใช้งานง่าย หรือถ้าใครอยากได้งานผิวโกลว์ ผิวกระจก ความฉ่ำวาวเล่นแสง แนะนำเป็น #รองพื้นเซรั่ม Intensive Serum Foundation SPF 40 PA++++ เป็นเนื้อลิควิดเช่นกัน แต่จะมีความบางเบากว่า และมีส่วนผสมของการบำรุงผิวหน้าไปในตัวด้วยค่ะ สามารถเลือกได้ตามความชอบเลย

เมื่อลงรองพื้นเสร็จแล้ว จากนั้นแนะนำให้ลงแป้งฝุ่นเพื่อเซ็ตรองพื้นให้อยู่ตัวและติดทนนานมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้รองพื้นไหลเยิ้มเพราะสภาพอากาศไปเสียก่อน

Natural

ให้ผลลัพธ์ในแบบแม็ทแต่ดูเป็นธรรมชาติ เบาสบายจนเหมือนผิวหายใจได้ ติดทนนานสูงสุดถึง 16 ชั่วโมง

2,300.00 บาท
2,300.00 บาท

4. ปรับสีผิวให้เนียนเท่ากันด้วยรองพื้น (Foundation)

มาต่อกันด้วยรองพื้น (Foundation) ไอเท็มที่ ทุกคนคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว ซึ่งอุปกรณ์และวิธีการในการใช้ลงรองพื้นนั้นมีหลายแบบมาก ๆ ขึ้นอยู่กับความถนัดและความชอบของแต่ละคน รวมถึงขึ้นอยู่กับรูปแบบของเนื้อรองพื้นด้วยเช่นเดียวกัน แต่สำหรับมือใหม่หัดแต่งหน้าหรือผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดแต่งหน้า แนะนำให้เริ่มต้นจากการใช้รองพื้นแบบลิควิดหรือแบบน้ำ และลงด้วยนิ้วมือก่อน โดยกดหรือเทเนื้อรองพื้นไว้บนหลังมือเพื่อกะปริมาณ ทั่วไปแนะนำอยู่ที่ 1 ปั๊ม แล้วค่อย ๆ ใช้นิ้วแตะเป็นจุด ๆ ทั่วใบหน้า (หรือจะลงทีละจุดก็ได้ค่ะ) จากนั้นก็ใช้นิ้วเกลี่ยจนกว่าเนื้อรองพื้นจะกลืนไปกับผิวของเราเท่า ๆ กันค่ะ ทั้งนี้รองพื้นแต่ละรุ่นก็จะให้ Finish Look ที่แตกต่างกันด้วยนะคะ

หากใครกำลังมองหาหรือต้องการการปกปิดขั้นสูงสุด แนะนำ #รองพื้นติดทน Skin Long-Wear Weightless Foundation SPF 15 PA++ เป็นเนื้อลิควิด ไม่หนาจนเกินไป มาในขวดปั๊ม ใช้งานง่าย หรือถ้าใครอยากได้งานผิวโกลว์ ผิวกระจก ความฉ่ำวาวเล่นแสง แนะนำเป็น #รองพื้นเซรั่ม Intensive Serum Foundation SPF 40 PA++++ เป็นเนื้อลิควิดเช่นกัน แต่จะมีความบางเบากว่า และมีส่วนผสมของการบำรุงผิวหน้าไปในตัวด้วยค่ะ สามารถเลือกได้ตามความชอบเลย

เมื่อลงรองพื้นเสร็จแล้ว จากนั้นแนะนำให้ลงแป้งฝุ่นเพื่อเซ็ตรองพื้นให้อยู่ตัวและติดทนนานมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้รองพื้นไหลเยิ้มเพราะสภาพอากาศไปเสียก่อน

Natural

ให้ผลลัพธ์ในแบบแม็ทแต่ดูเป็นธรรมชาติ เบาสบายจนเหมือนผิวหายใจได้ ติดทนนานสูงสุดถึง 16 ชั่วโมง

2,300.00 บาท
2,300.00 บาท

5. เขียนคิ้วให้เป็นดั่งมงกุฎของใบหน้า

เคล็ดลับสำหรับการเขียนคิ้วให้ง่ายยิ่งขึ้นสำหรับมือใหม่ คือ การกันคิ้ว นั่นเองค่ะ สำหรับมือใหม่ หากยังไม่มั่นใจ แนะนำให้ไปกันคิ้วที่เคาน์เตอร์นะคะ อย่าเพิ่งทำเอง เพราะผู้เชี่ยวชาญจะสามารถให้คำแนะนำเรื่องทรงคิ้วที่เหมาะกับใบหน้าของแต่ละคนได้ดีกว่านะคะ แต่ถ้าเรามีทรงคิ้วที่ชอบในใจอยู่แล้ว สามารถนำไปปรึกษาก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ

หลังจากกันคิ้วเรียบร้อยแล้ว ให้เริ่มต้นเขียนคิ้ว โดยวาดโครงร่างจากหัวคิ้วไปหางคิ้ว ค่อย ๆ เขียนไปตามโครงคิ้วที่เราได้กันไว้แล้ว แล้วใช้แปรงปัดหัวคิ้วให้ดูฟุ้ง ไม่เป็นเส้นแข็ง หรือถ้าใครอยากสะดวก ก็สามารถใช้แผ่นช่วยเขียนคิ้วที่มีลักษณะเป็นสติ๊กเกอร์ แปะไปที่คิ้ว แล้วก็วาดตามได้เลย แต่ให้ระวังเรื่องน้ำหนักการเขียนด้วยนะคะ หากเป็นการแต่งหน้าในชีวิตประจำวัน ไม่ควรเขียนเส้นหนาและเข้มจนดูไม่เป็นธรรมชาตินะคะ โดยทั่วไปแล้วหัวคิ้วจะต้องเป็นส่วนที่มีสีอ่อนที่สุด และไล่ไปจนปลายหางคิ้วมีสีเข้มที่สุดค่ะ

ช่วงแรกที่เริ่มเขียน อาจใช้เวลาเยอะมาก กว่าจะได้คิ้วทั้งสองข้างที่เท่ากัน และเป็นทรงที่ต้องการ ให้หมั่นฝึกเขียนบ่อย ๆ ให้ชินมือจนเกิดความชำนาญ จะช่วยลดเวลาที่ใช้ในการแต่งคิ้วไปได้เยอะเลยค่ะ

Sandy Blonde [50% OFF]

ดินสอเขียนคิ้วกันน้ำ กันเหงื่อชนิดมีรีฟิล ที่ช่วยรังสรรค์ทรงคิ้วหลากหลายรูปแบบ

1,850.00 บาท
1,850.00 บาท

5. เขียนคิ้วให้เป็นดั่งมงกุฎของใบหน้า

เคล็ดลับสำหรับการเขียนคิ้วให้ง่ายยิ่งขึ้นสำหรับมือใหม่ คือ การกันคิ้ว นั่นเองค่ะ สำหรับมือใหม่ หากยังไม่มั่นใจ แนะนำให้ไปกันคิ้วที่เคาน์เตอร์นะคะ อย่าเพิ่งทำเอง เพราะผู้เชี่ยวชาญจะสามารถให้คำแนะนำเรื่องทรงคิ้วที่เหมาะกับใบหน้าของแต่ละคนได้ดีกว่านะคะ แต่ถ้าเรามีทรงคิ้วที่ชอบในใจอยู่แล้ว สามารถนำไปปรึกษาก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ

หลังจากกันคิ้วเรียบร้อยแล้ว ให้เริ่มต้นเขียนคิ้ว โดยวาดโครงร่างจากหัวคิ้วไปหางคิ้ว ค่อย ๆ เขียนไปตามโครงคิ้วที่เราได้กันไว้แล้ว แล้วใช้แปรงปัดหัวคิ้วให้ดูฟุ้ง ไม่เป็นเส้นแข็ง หรือถ้าใครอยากสะดวก ก็สามารถใช้แผ่นช่วยเขียนคิ้วที่มีลักษณะเป็นสติ๊กเกอร์ แปะไปที่คิ้ว แล้วก็วาดตามได้เลย แต่ให้ระวังเรื่องน้ำหนักการเขียนด้วยนะคะ หากเป็นการแต่งหน้าในชีวิตประจำวัน ไม่ควรเขียนเส้นหนาและเข้มจนดูไม่เป็นธรรมชาตินะคะ โดยทั่วไปแล้วหัวคิ้วจะต้องเป็นส่วนที่มีสีอ่อนที่สุด และไล่ไปจนปลายหางคิ้วมีสีเข้มที่สุดค่ะ

ช่วงแรกที่เริ่มเขียน อาจใช้เวลาเยอะมาก กว่าจะได้คิ้วทั้งสองข้างที่เท่ากัน และเป็นทรงที่ต้องการ ให้หมั่นฝึกเขียนบ่อย ๆ ให้ชินมือจนเกิดความชำนาญ จะช่วยลดเวลาที่ใช้ในการแต่งคิ้วไปได้เยอะเลยค่ะ

Sandy Blonde [50% OFF]

ดินสอเขียนคิ้วกันน้ำ กันเหงื่อชนิดมีรีฟิล ที่ช่วยรังสรรค์ทรงคิ้วหลากหลายรูปแบบ

1,850.00 บาท
1,850.00 บาท

6. เพิ่มสีสันให้เปลือกตาด้วยอายแชโดว์ (Eyeshadow)

โทนสีของเปลือกตาที่เราเลือกมีผลทำให้ลุคของการแต่งหน้าเปลี่ยนไปนะคะ อายแชโดว์สีพื้นฐานที่ควรมีไว้ติดกระเป๋าเครื่องสำอาง ก็คือ สีเบจ หรือ ชมพูอ่อน ซึ่งเป็นเหมือนสีเริ่มต้น สามารถใช้ได้หลายงาน ไม่ว่าจะลุคออกงานสังคม ทานข้าว ปาร์ตี้ หรือไปสมัครงานก็ยังได้ แต่ถ้าหากอยากให้ตาดูหวานขึ้นก็ให้ลองใช้สีชมพู ถ้าอยากได้ลุคสดใสก็แนะนำเป็นสีส้ม หรือถ้าอยากได้คลาสสิคลุค ก็ลองสีน้ำตาล-ทองดูได้ค่ะ

วิธีการลงอายแชโดว์ก็ไม่ยาก มือใหม่สามารถใช้นิ้วแต้มอายแชโดว์ลงไปบนเปลือกตาได้เลยค่ะ ค่อย ๆ แต้มลงไปโดยเริ่มจากสีอ่อนให้ทั่วผิวบริเวณเปลือกตา ส่วนเกินที่ติดนิ้วก็อย่าพึ่งเช็ดออกนะคะ สามารถใช้ปาดเบา ๆ ที่หัวตาได้ค่ะ จากนั้นใช้สีที่เข้มขึ้น แล้วแต้มลงไปบริเวณกลางตาไปจนถึงหางตา เพื่อทำให้ตาดูมีมิติมากขึ้นนั่นเองค่ะ แต่จริง ๆ แล้วการลงอายแชโดว์ไม่ได้มีกฎตายตัวนะคะ สามารถเลือกโทนสีที่ต้องการและแต่งแต้มได้ตามความชอบเลยค่ะ

Mica

อายแชโดว์แบบแท่งเนื้อครีม ใช้งานง่าย

1,500.00 บาท
1,500.00 บาท

6. เพิ่มสีสันให้เปลือกตาด้วยอายแชโดว์ (Eyeshadow)

โทนสีของเปลือกตาที่เราเลือกมีผลทำให้ลุคของการแต่งหน้าเปลี่ยนไปนะคะ อายแชโดว์สีพื้นฐานที่ควรมีไว้ติดกระเป๋าเครื่องสำอาง ก็คือ สีเบจ หรือ ชมพูอ่อน ซึ่งเป็นเหมือนสีเริ่มต้น สามารถใช้ได้หลายงาน ไม่ว่าจะลุคออกงานสังคม ทานข้าว ปาร์ตี้ หรือไปสมัครงานก็ยังได้ แต่ถ้าหากอยากให้ตาดูหวานขึ้นก็ให้ลองใช้สีชมพู ถ้าอยากได้ลุคสดใสก็แนะนำเป็นสีส้ม หรือถ้าอยากได้คลาสสิคลุค ก็ลองสีน้ำตาล-ทองดูได้ค่ะ

วิธีการลงอายแชโดว์ก็ไม่ยาก มือใหม่สามารถใช้นิ้วแต้มอายแชโดว์ลงไปบนเปลือกตาได้เลยค่ะ ค่อย ๆ แต้มลงไปโดยเริ่มจากสีอ่อนให้ทั่วผิวบริเวณเปลือกตา ส่วนเกินที่ติดนิ้วก็อย่าพึ่งเช็ดออกนะคะ สามารถใช้ปาดเบา ๆ ที่หัวตาได้ค่ะ จากนั้นใช้สีที่เข้มขึ้น แล้วแต้มลงไปบริเวณกลางตาไปจนถึงหางตา เพื่อทำให้ตาดูมีมิติมากขึ้นนั่นเองค่ะ แต่จริง ๆ แล้วการลงอายแชโดว์ไม่ได้มีกฎตายตัวนะคะ สามารถเลือกโทนสีที่ต้องการและแต่งแต้มได้ตามความชอบเลยค่ะ

Mica

อายแชโดว์แบบแท่งเนื้อครีม ใช้งานง่าย

1,500.00 บาท
1,500.00 บาท

7. กรีดตาในแบบที่ชอบด้วยอายไลเนอร์ (Eyeliner)

บอกเลยว่าการเขียนอายไลเนอร์ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับมือใหม่จริง ๆ ค่ะ เนื่องจากโดยธรรมชาติของคน เมื่อมีอะไรเข้าไปใกล้ดวงตา ร่างกายก็จะสั่งให้เราหลับตาเพื่อป้องกันอันตรายทันที อาการเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหาตอนเราเขียนขอบตาได้ง่าย ๆ เพราะเมื่ออายไลเนอร์เข้าใกล้ดวงตา เราก็จะกะพริบตาถี่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้น การเขียนอายไลเนอร์ก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถแน่นอน สำหรับมือใหม่จึงแนะนำให้ใช้อายไลเนอร์แบบดินสอหรือแบบปากกาก่อน เพราะเขียนง่ายกว่าแบบอื่น ๆ ถ้าเริ่มจากการใช้แบบเจลที่ต้องใช้คู่กับพู่กัน หากควบคุมน้ำหนักมือไม่พอดี จะทำให้คุมขนาดและทิศทางของเส้นได้ยากนั่นเองค่ะ ดังนั้นแนะนำให้ผู้ที่เริ่มหัดแต่งหน้าฝึกเขียนด้วยอายไลเนอร์แบบดินสอหรือปากกาให้ชินมือเสียก่อนนะคะแล้วค่อยปรับไปใช้อายไลเนอร์แบบอื่นในอนาคต

7. กรีดตาในแบบที่ชอบด้วยอายไลเนอร์ (Eyeliner)

บอกเลยว่าการเขียนอายไลเนอร์ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับมือใหม่จริง ๆ ค่ะ เนื่องจากโดยธรรมชาติของคน เมื่อมีอะไรเข้าไปใกล้ดวงตา ร่างกายก็จะสั่งให้เราหลับตาเพื่อป้องกันอันตรายทันที อาการเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหาตอนเราเขียนขอบตาได้ง่าย ๆ เพราะเมื่ออายไลเนอร์เข้าใกล้ดวงตา เราก็จะกะพริบตาถี่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้น การเขียนอายไลเนอร์ก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถแน่นอน สำหรับมือใหม่จึงแนะนำให้ใช้อายไลเนอร์แบบดินสอหรือแบบปากกาก่อน เพราะเขียนง่ายกว่าแบบอื่น ๆ ถ้าเริ่มจากการใช้แบบเจลที่ต้องใช้คู่กับพู่กัน หากควบคุมน้ำหนักมือไม่พอดี จะทำให้คุมขนาดและทิศทางของเส้นได้ยากนั่นเองค่ะ ดังนั้นแนะนำให้ผู้ที่เริ่มหัดแต่งหน้าฝึกเขียนด้วยอายไลเนอร์แบบดินสอหรือปากกาให้ชินมือเสียก่อนนะคะแล้วค่อยปรับไปใช้อายไลเนอร์แบบอื่นในอนาคต

8. ปัดขนตาให้งอนสวยด้วยมาสคาร่า (Mascara)

มาถึงในส่วนของขนตากันบ้าง หากต้องการจะมีขนตาที่งอนยาว เด้ง อุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ก่อนจะปัดมาสคาร่าก็คือ ที่ดัดขนตา ซึ่งเราจะต้องดัดขนตาให้งอนยาวดูสวยงามเสียก่อน ทริคง่าย ๆ คือการใช้ไดร์เป่าผม เป่าที่ดัดขนตาให้อุ่นประมาณ 20 วินาที แนะนำว่าควรใช้นิ้วแตะ ๆ ทดสอบก่อนนำมาใช้ดัดขนตาจริงด้วยนะคะ เพื่อไม่ให้ที่ดัดนั้นร้อนจนเกินไป การทำแบบนี้จะช่วยให้ขนตางอนเด้งเป็นทรงตามที่เราต้องการได้ง่ายขึ้น ส่วนวิธีการดัด ให้เริ่มดัดจากโคนขนตาด้านในสุด (ระวังหนีบหนังตาด้วยนะคะ) เมื่อได้ล็อกแล้วก็กดย้ำ ๆ และค่อย ๆ เลื่อนออกมาดัดที่ส่วนกลางขนตา และสุดท้ายที่ปลายขนตา

จากนั้นใช้มาสคาร่าปัดที่ขนตาบนก่อน โดยให้เราเงยหน้า มองต่ำ ปัดซิกแซกขึ้นจากบริเวณโคนขึ้นไป ข้อสำคัญคือไม่ควรปัดตรง ๆ ทีเดียวค่ะ เพราะเนื้อของมาสคาร่าจะติดไม่ทั่วขนตาเรา ส่วนการปัดขนตาล่างให้ก้มหน้า มองสูง จากนั้นก็ปัดซิกแซกเหมือนเดิม โดยทั่วไปขนตาล่างจะสั้นกว่าขนตาบน ดังนั้นให้ระวังนิดนึงนะคะ เพราะอาจทำให้มาสคาร่าเลอะบริเวณขอบตาล่างได้ ถ้าหากอยากได้ขนตายาวและงอนมากขึ้นอีก ก็สามารถเลือกใช้มาสคาร่าแบบพิเศษที่ช่วยให้ขนตายาวได้ด้วย

อย่างไรแล้ว สำหรับการเขียนอายไลเนอร์และการปัดมาสคาร่า สามารถสลับขั้นตอนกันได้ตามความถนัดของแต่ละคนเลยนะคะ หากดัดขนตาและปัดมาสคาร่าก่อน ก็อาจทำให้สะดวกขึ้นในการเติมอายไลเนอร์ลงไปเฉพาะจุดระหว่างขนตา แต่ก็อาจไม่ถนัดสำหรับบางคนที่ต้องการเขียนเส้นอายไลเนอร์ให้ต่อเนื่องเป็นเส้นยาวเพราะจะทำได้ยาก ลองปรับใช้กันดูนะคะ

8. ปัดขนตาให้งอนสวยด้วยมาสคาร่า (Mascara)

มาถึงในส่วนของขนตากันบ้าง หากต้องการจะมีขนตาที่งอนยาว เด้ง อุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ก่อนจะปัดมาสคาร่าก็คือ ที่ดัดขนตา ซึ่งเราจะต้องดัดขนตาให้งอนยาวดูสวยงามเสียก่อน ทริคง่าย ๆ คือการใช้ไดร์เป่าผม เป่าที่ดัดขนตาให้อุ่นประมาณ 20 วินาที แนะนำว่าควรใช้นิ้วแตะ ๆ ทดสอบก่อนนำมาใช้ดัดขนตาจริงด้วยนะคะ เพื่อไม่ให้ที่ดัดนั้นร้อนจนเกินไป การทำแบบนี้จะช่วยให้ขนตางอนเด้งเป็นทรงตามที่เราต้องการได้ง่ายขึ้น ส่วนวิธีการดัด ให้เริ่มดัดจากโคนขนตาด้านในสุด (ระวังหนีบหนังตาด้วยนะคะ) เมื่อได้ล็อกแล้วก็กดย้ำ ๆ และค่อย ๆ เลื่อนออกมาดัดที่ส่วนกลางขนตา และสุดท้ายที่ปลายขนตา

จากนั้นใช้มาสคาร่าปัดที่ขนตาบนก่อน โดยให้เราเงยหน้า มองต่ำ ปัดซิกแซกขึ้นจากบริเวณโคนขึ้นไป ข้อสำคัญคือไม่ควรปัดตรง ๆ ทีเดียวค่ะ เพราะเนื้อของมาสคาร่าจะติดไม่ทั่วขนตาเรา ส่วนการปัดขนตาล่างให้ก้มหน้า มองสูง จากนั้นก็ปัดซิกแซกเหมือนเดิม โดยทั่วไปขนตาล่างจะสั้นกว่าขนตาบน ดังนั้นให้ระวังนิดนึงนะคะ เพราะอาจทำให้มาสคาร่าเลอะบริเวณขอบตาล่างได้ ถ้าหากอยากได้ขนตายาวและงอนมากขึ้นอีก ก็สามารถเลือกใช้มาสคาร่าแบบพิเศษที่ช่วยให้ขนตายาวได้ด้วย

อย่างไรแล้ว สำหรับการเขียนอายไลเนอร์และการปัดมาสคาร่า สามารถสลับขั้นตอนกันได้ตามความถนัดของแต่ละคนเลยนะคะ หากดัดขนตาและปัดมาสคาร่าก่อน ก็อาจทำให้สะดวกขึ้นในการเติมอายไลเนอร์ลงไปเฉพาะจุดระหว่างขนตา แต่ก็อาจไม่ถนัดสำหรับบางคนที่ต้องการเขียนเส้นอายไลเนอร์ให้ต่อเนื่องเป็นเส้นยาวเพราะจะทำได้ยาก ลองปรับใช้กันดูนะคะ

9. ปัดแก้มให้ดูมีชีวิตชีวาด้วยบลัชออน (Blush on)

อยากให้พวงแก้มดูกระจ่างใสมีชีวิตชีวา ขึ้นเลือดฝาดดูเป็นธรรมชาติ ก็ต้องบลัชออนนี่แหละค่ะ ซึ่งก็มีให้เลือกหลากหลายโทนสีไม่แพ้อายแชโดว์เลย อีกทั้งยังมีหลากหลายเนื้อ ทั้งแบบฝุ่น แบบครีม และการปัดแก้มก็มีหลายวิธีอีกเช่นกัน แต่แบบที่เป็นพื้นฐานที่มือใหม่ควรฝึกเอาไว้ก่อนก็คือ การปัดโหนกแก้มที่ข้างจมูก แล้วค่อย ๆ ปัดเฉียงขึ้นด้านบนบาง ๆ นั่นเองค่ะ ส่วนแบบที่เป็นที่นิยมในช่วงนี้ คงไม่พ้นการปัดบลัชออนตรงหน้าแก้มทั้ง 2 ฝั่ง และเชื่อมกันด้วยการปัดพาดบริเวณจมูกไปด้วย ซึ่งหลาย ๆ คนให้ความเห็นว่าการปัดแบบนี้จะทำให้ดูขี้เล่นและดูเด็กลงด้วยนะคะ

Powder Pink

ปัดแก้มเนื้อครีม ผลิตภัณฑ์สำหรับพวงแก้มและริมฝีปาก

1,900.00 บาท
1,900.00 บาท

9. ปัดแก้มให้ดูมีชีวิตชีวาด้วยบลัชออน (Blush on)

อยากให้พวงแก้มดูกระจ่างใสมีชีวิตชีวา ขึ้นเลือดฝาดดูเป็นธรรมชาติ ก็ต้องบลัชออนนี่แหละค่ะ ซึ่งก็มีให้เลือกหลากหลายโทนสีไม่แพ้อายแชโดว์เลย อีกทั้งยังมีหลากหลายเนื้อ ทั้งแบบฝุ่น แบบครีม และการปัดแก้มก็มีหลายวิธีอีกเช่นกัน แต่แบบที่เป็นพื้นฐานที่มือใหม่ควรฝึกเอาไว้ก่อนก็คือ การปัดโหนกแก้มที่ข้างจมูก แล้วค่อย ๆ ปัดเฉียงขึ้นด้านบนบาง ๆ นั่นเองค่ะ ส่วนแบบที่เป็นที่นิยมในช่วงนี้ คงไม่พ้นการปัดบลัชออนตรงหน้าแก้มทั้ง 2 ฝั่ง และเชื่อมกันด้วยการปัดพาดบริเวณจมูกไปด้วย ซึ่งหลาย ๆ คนให้ความเห็นว่าการปัดแบบนี้จะทำให้ดูขี้เล่นและดูเด็กลงด้วยนะคะ

Powder Pink

ปัดแก้มเนื้อครีม ผลิตภัณฑ์สำหรับพวงแก้มและริมฝีปาก

1,900.00 บาท
1,900.00 บาท


PRO TIP:
หากใครที่รู้สึกว่าอยากเพิ่มมิติให้ใบหน้า หรืออยากปรับโครงหน้าให้ดูเล็กลง สามารถทำได้ด้วยการใช้บรอนเซอร์ (Bronzer) ไล่ไปตามบริเวณกรอบหน้าได้ด้วยนะคะ
หรือจะทำการไล่จมูกให้ดูมีมิติเป็นสันขึ้นมาก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ นอกจากนี้หากต้องการเพิ่มความฉ่ำโกลว์ให้กับผิว อยากให้ผิวมีความวาว เล่นแสง แนะนำให้ปัดไฮไลท์ (Highlight)
บริเวณโหนกแก้มหลังลงบลัชออน บริเวณใต้ท้องคิ้วทั้ง 2 ข้าง รวมถึงปลายจมูก และกระจับปาก จะทำให้ดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นค่ะ
เพราะทั้ง 4 จุดของใบหน้าที่กล่าวมานั้นเป็นบริเวณที่แสงจะตกกระทบเป็นหลักนั่นเองค่ะ

10. เติมสีสันให้ริมฝีปากด้วยลิปสติก (Lipstick)

เชื่อว่าเครื่องสำอางชิ้นแรกของทุกคนคงจะหนีไม่พ้น “ลิปสติก” อย่างแน่นอนเลยใช่ไหมคะ เพราะเป็นไอเท็มที่สามารถใช้งานได้ง่ายที่สุด และการทาลิปสติกนั้นไม่ยากเลยค่ะ แต่การเลือกลิปสติกสัก 1 แท่งให้ถูกใจจริง ๆ นั้นยากเหลือเกิน เพราะลิปสติกมีหลากหลายเฉดสีมาก ๆ ทั้งโทนส้ม ชมพู แดง น้ำตาล หรือสีสันเฉพาะเทศกาลก็มี อีกทั้งยังมีหลายเนื้อ ทั้งเนื้อลิควิด เนื้อแมท เนื้อซาติน เนื้อกลอส และอีกมากมาย เป็นเหตุให้หลาย ๆ คนมีลิปสติกติดกระเป๋ามากกว่า 1 แท่งได้ง่าย ๆ เลยค่ะ

สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกลิปสติกอย่างไรดี แนะนำให้ไปลองก่อนที่จะเลือกซื้อนะคะ โดยการลองลิปสติกที่ท้องแขนด้านใน ตรงส่วนที่ไม่โดนแดดจะเหมาะสมที่สุด และสิ่งสำคัญก่อนทาลิปสติก ก็คือ ริมฝีปากของเราต้องชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก หรือลอกเป็นขุย ต้องหมั่นบำรุงด้วยการทาลิปบาล์ม อย่าให้ผิวริมฝีปากของเราแห้งแตก ไม่อย่างนั้นเวลาทาลิปสติกแล้ว เนื้อลิปอาจตกลงไปตามร่องแตกบนริมฝีปากได้ค่ะ หากใครทาลิปสติกเก่งแล้ว ลองเพิ่มไฮไลท์ ลงลิปไลเนอร์ หรือจะวาดรูปปากใหม่ในแบบของตัวเองก็น่าสนุกไปอีกแบบนะคะ

Cranberry

ลิปเนื้อซาติน ให้ลุคซอฟต์แมท ดูสดใสเป็นธรรมชาติ

1,500.00 บาท
1,500.00 บาท

10. เติมสีสันให้ริมฝีปากด้วยลิปสติก (Lipstick)

เชื่อว่าเครื่องสำอางชิ้นแรกของทุกคนคงจะหนีไม่พ้น “ลิปสติก” อย่างแน่นอนเลยใช่ไหมคะ เพราะเป็นไอเท็มที่สามารถใช้งานได้ง่ายที่สุด และการทาลิปสติกนั้นไม่ยากเลยค่ะ แต่การเลือกลิปสติกสัก 1 แท่งให้ถูกใจจริง ๆ นั้นยากเหลือเกิน เพราะลิปสติกมีหลากหลายเฉดสีมาก ๆ ทั้งโทนส้ม ชมพู แดง น้ำตาล หรือสีสันเฉพาะเทศกาลก็มี อีกทั้งยังมีหลายเนื้อ ทั้งเนื้อลิควิด เนื้อแมท เนื้อซาติน เนื้อกลอส และอีกมากมาย เป็นเหตุให้หลาย ๆ คนมีลิปสติกติดกระเป๋ามากกว่า 1 แท่งได้ง่าย ๆ เลยค่ะ

สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกลิปสติกอย่างไรดี แนะนำให้ไปลองก่อนที่จะเลือกซื้อนะคะ โดยการลองลิปสติกที่ท้องแขนด้านใน ตรงส่วนที่ไม่โดนแดดจะเหมาะสมที่สุด และสิ่งสำคัญก่อนทาลิปสติก ก็คือ ริมฝีปากของเราต้องชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก หรือลอกเป็นขุย ต้องหมั่นบำรุงด้วยการทาลิปบาล์ม อย่าให้ผิวริมฝีปากของเราแห้งแตก ไม่อย่างนั้นเวลาทาลิปสติกแล้ว เนื้อลิปอาจตกลงไปตามร่องแตกบนริมฝีปากได้ค่ะ หากใครทาลิปสติกเก่งแล้ว ลองเพิ่มไฮไลท์ ลงลิปไลเนอร์ หรือจะวาดรูปปากใหม่ในแบบของตัวเองก็น่าสนุกไปอีกแบบนะคะ

Cranberry

ลิปเนื้อซาติน ให้ลุคซอฟต์แมท ดูสดใสเป็นธรรมชาติ

1,500.00 บาท
1,500.00 บาท